การยืดเหยียดกล้ามเนื้อความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching) เป็นการยืดขยายเส้นใยกล้ามเนื้อและข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายและส่งเสริมการทำงานของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกให้ดียิ่งขึ้น การยืดเหยียดเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ทุกวันและเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะก่อนและหลังออกกำลังกาย ซึ่งมีประโยชน์หลายประการ ดังนี้:

ประโยชน์ของการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
- เพิ่มความยืดหยุ่นและความคล่องตัว
การยืดเหยียดช่วยทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ ช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย
- ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ
การยืดเหยียดก่อนออกกำลังกายเป็นการเตรียมความพร้อมให้กล้ามเนื้อและข้อต่อ ทำให้ร่างกายพร้อมรับการใช้งานหนัก ลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ เช่น อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า ข้อเข่า หรือกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
- ลดอาการปวดเมื่อยและกล้ามเนื้อตึงตัว
การยืดเหยียดหลังการออกกำลังกายหรือหลังการทำงานที่ต้องนั่งนานๆ เช่น การนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ช่วยลดอาการปวดและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น
- ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด
การยืดเหยียดช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดสามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูและลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี
- ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต
การยืดเหยียดเป็นกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้จิตใจรู้สึกสงบและผ่อนคลาย ลดอาการเครียดสะสมจากการทำงานหรือกิจกรรมในแต่ละวัน
ความสำคัญของการยืดเหยียดที่ไม่ควรมองข้าม
การยืดเหยียดไม่ใช่เพียงกิจกรรมเสริมในการออกกำลังกาย แต่เป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งเสริมให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการปวดเมื่อยและการบาดเจ็บ หากละเลยการยืดเหยียดอาจทำให้ร่างกายเกิดอาการตึงเครียดของกล้ามเนื้อและเพิ่มความเสี่ยงในการบาดเจ็บ การยืดเหยียดจึงควรทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการยืดเหยียดในช่วงเช้าเพื่อกระตุ้นความพร้อมของร่างกาย หรือการยืดเหยียดในช่วงเย็นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความเครียดจากการใช้งานตลอดทั้งวัน
ท่ายืดกล้ามเนื้อพื้นฐาน
การยืดกล้ามเนื้อพื้นฐานช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและเพิ่มความยืดหยุ่น ทำได้ง่ายๆ ทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดี โดยมีท่ายืดกล้ามเนื้อที่ควรรู้จัก ดังนี้:
- ท่ายืดกล้ามเนื้อคอ
- ยืนหรืออยู่ในท่านั่งตัวตรง
- เอียงศีรษะไปทางขวา ค้างไว้ประมาณ 15-30 วินาที จากนั้นเปลี่ยนข้าง
- ช่วยยืดกล้ามเนื้อคอ บรรเทาความตึงจากการนั่งทำงานนานๆ
- ท่ายืดกล้ามเนื้อไหล่และแขน
- ยืนหรือนั่งตัวตรง ยกแขนขวาขึ้นระดับไหล่และเหยียดตรงข้ามไปทางซ้าย
- ใช้มือซ้ายจับข้อศอกขวา ดึงเข้าหาลำตัว ค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
- ช่วยยืดกล้ามเนื้อไหล่ บรรเทาความตึงบริเวณไหล่และต้นแขน
- ท่ายืดกล้ามเนื้อหลัง
- นั่งพื้น ยกเข่าขวาและวางเท้าขวาไว้ด้านนอกเข่าซ้าย
- เอามือซ้ายวางบนพื้นด้านหลัง และบิดลำตัวไปด้านขวา โดยใช้แขนขวาดันเข่าขวาไว้
- ค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วสลับข้าง ช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังและบั้นเอว
- ท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพก
- นั่งพื้น ยกเข่าขวาและวางข้อเท้าขวาบนต้นขาซ้าย
- ใช้มือดึงต้นขาซ้ายเข้าหาตัว ค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
- ช่วยยืดกล้ามเนื้อสะโพกและลดอาการตึงสะสม
- ท่ายืดกล้ามเนื้อขาและต้นขาด้านหลัง
- ยืนตรง ยกขาข้างหนึ่งไปข้างหน้าแล้วงอเข่าเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้าและจับปลายเท้า
- ค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง ช่วยยืดกล้ามเนื้อต้นขาและน่อง
- ท่ายืดกล้ามเนื้อน่อง
- ยืนหันหน้าเข้ากำแพง วางมือบนกำแพง และเหยียดขาขวาไปด้านหลังพร้อมวางส้นเท้าติดพื้น
- งอเข่าซ้ายเล็กน้อย ค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง
- ช่วยยืดกล้ามเนื้อน่อง ลดความตึงจากการเดินหรือวิ่ง
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนหรือหลังการออกกำลังกาย?
การยืดกล้ามเนื้อเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้กล้ามเนื้อพร้อมใช้งานและฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการยืดกล้ามเนื้อสามารถลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ เพิ่มความคล่องตัว และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้มากขึ้น โดยมีความแตกต่างระหว่างการยืดก่อนและหลังการออกกำลังกาย ดังนี้:
1. การยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย
- การยืดแบบไดนามิก (Dynamic Stretching): การยืดแบบไดนามิกหมายถึงการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและข้อต่อ เช่น การแกว่งขา การหมุนข้อศอก การบิดตัวเบาๆ โดยไม่เน้นการค้างท่า
- ประโยชน์ของการยืดแบบไดนามิก:
- เพิ่มการไหลเวียนเลือด: การเคลื่อนไหวเบาๆ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อต่างๆ มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อมีออกซิเจนและสารอาหารที่เพียงพอ
- กระตุ้นระบบประสาท: การเคลื่อนไหวทำให้ระบบประสาทรับรู้การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้พร้อมต่อการออกกำลังกายหนักๆ
- ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ: กล้ามเนื้อและข้อต่อที่ได้รับการยืดแบบไดนามิกมีความพร้อมในการทำกิจกรรมที่ต้องการความเคลื่อนไหวสูง ลดโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บ เช่น ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีก หรือเอ็นอักเสบ
- ตัวอย่างท่าไดนามิก:
- การแกว่งขา: ยืนตัวตรงและแกว่งขาไปด้านหน้าและด้านหลัง ประมาณ 10-15 ครั้ง
- หมุนข้อศอกและไหล่: หมุนข้อศอกและหมุนไหล่เป็นวงกลมเล็กๆ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบข้อ
การยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายแบบไดนามิกจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กล้ามเนื้อข้อต่อ และส่งเสริมให้การเคลื่อนไหวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย
- การยืดแบบสถิต (Static Stretching): การยืดแบบสถิตคือการยืดกล้ามเนื้อให้อยู่ในท่าที่ค้างไว้ประมาณ 15-30 วินาที เช่น การโน้มตัวแตะปลายเท้า การยืดแขนเหนือศีรษะ การบิดลำตัว การยืดท่าเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อค่อยๆ ผ่อนคลายและลดความตึงเครียด
- ประโยชน์ของการยืดแบบสถิต:
- ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อ: การยืดแบบค้างท่าหลังออกกำลังกายช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากการใช้งานหนัก ลดความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดจากการออกกำลังกาย
- ป้องกันการปวดเมื่อยล่าช้า (DOMS): การยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายช่วยลดอาการปวดเมื่อยที่มักเกิดขึ้นหลังจากผ่านไป 24-48 ชั่วโมง เนื่องจากกล้ามเนื้อได้รับการยืดคลายและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- ช่วยฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อ: การยืดแบบสถิตเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้เลือดนำสารอาหารและออกซิเจนไปฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดการสะสมของกรดแลคติกที่เป็นสาเหตุของความเมื่อยล้า
- ตัวอย่างท่าสถิต:
- การแตะปลายเท้า: ยืนแยกขากว้างตามสะโพกและโน้มตัวไปข้างหน้า พยายามแตะปลายเท้าหรือข้อเท้า ค้างไว้ 15-30 วินาที
- ท่ายืดต้นขาด้านหน้า: ยืนยกขาข้างหนึ่งไปด้านหลังและจับข้อเท้าให้ใกล้กับก้น ค้างท่านี้ไว้ 15-30 วินาที ทำสลับขาเพื่อยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า
สรุป: ควรยืดกล้ามเนื้อทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย
- ก่อนออกกำลังกาย: ยืดกล้ามเนื้อแบบไดนามิก เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและเตรียมพร้อมร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- หลังออกกำลังกาย: ยืดกล้ามเนื้อแบบสถิต เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความตึงเครียด และช่วยฟื้นฟูร่างกาย
การยืดกล้ามเนื้อทั้งสองช่วงเวลาช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่และป้องกันการบาดเจ็บ ควรทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อสุขภาพที่ดีและความพร้อมในการออกกำลังกาย
การยืดกล้ามเนื้อไม่ใช่แค่สำหรับนักกีฬาเท่านั้น แต่เหมาะกับหลายกลุ่มคนและหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อในรูปแบบซ้ำ ๆ หรือต้องท่าทางอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ ดังนี้
1. งานที่ต้องนั่งนาน ๆ (เช่น งานออฟฟิศ)
- ลักษณะงาน: การนั่งโต๊ะทำงานตลอดวัน อาจจะทำให้กล้ามเนื้อที่ต้นคอ บ่า ไหล่ และหลังส่วนล่างเกิดการเกร็งสะสมได้ง่าย
- การยืดกล้ามเนื้อที่แนะนำ: ยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลัง ไหล่ คอ รวมถึงขาและสะโพก เพื่อลดอาการตึงเครียดและปวดเมื่อยจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน เช่น การยืดหลังและเอียงคอไปทางซ้าย-ขวา เป็นต้น
- ความถี่ที่แนะนำ: ควรยืดทุกๆ 1-2 ชั่วโมงระหว่างทำงาน หรือยืดกล้ามเนื้อในตอนเช้าและเย็นเป็นกิจวัตร
2. งานที่ต้องยืนเป็นเวลานาน (เช่น พนักงานร้านค้า ครู หรือผู้ดูแลสุขภาพ)
- ลักษณะงาน: การยืนติดต่อกันหลายชั่วโมงอาจทำให้กล้ามเนื้อขา สะโพก และหลังส่วนล่างรู้สึกเหนื่อยล้าและมีความตึงตัวได้ง่าย
- การยืดกล้ามเนื้อที่แนะนำ: การยืดกล้ามเนื้อน่อง ต้นขา และหลังส่วนล่าง รวมถึงการยืดคลายข้อเท้า ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของขาและสะโพก
- ความถี่ที่แนะนำ: ยืดกล้ามเนื้อทุกๆ 2-3 ชั่วโมงในระหว่างพัก หรือหลังจากเสร็จงาน
3. งานที่ต้องยกของหนักหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมาก (เช่น งานก่อสร้าง ขนส่ง หรือช่างต่างๆ)
- ลักษณะงาน: การยกของหนักหรือทำงานที่ต้องออกแรงสูงทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น บริเวณแขน หลัง และขา
- การยืดกล้ามเนื้อที่แนะนำ: ยืดกล้ามเนื้อแขน ขา หลัง และสะโพก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและลดความตึงเครียด
- ความถี่ที่แนะนำ: ควรยืดกล้ามเนื้อทั้งก่อนและหลังการทำงานหนักทุกครั้ง และพักยืดในช่วงเวลาทำงานด้วยหากมีโอกาส
4. งานที่ต้องใช้สายตามาก (เช่น นักออกแบบ กราฟิกดีไซเนอร์ หรือโปรแกรมเมอร์)
- ลักษณะงาน: การเพ่งสายตาไปยังจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดความตึงเครียดที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาและกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่
- การยืดกล้ามเนื้อที่แนะนำ: นอกจากการยืดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ยังสามารถพักสายตาโดยมองไปยังสิ่งที่ห่างออกไปและปรับโฟกัส เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาผ่อนคลาย
- ความถี่ที่แนะนำ: ควรทำการยืดกล้ามเนื้อและพักสายตาทุกๆ 1 ชั่วโมง
5. นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ลักษณะงาน: การออกกำลังกายและเล่นกีฬาบางชนิดอาจทำให้กล้ามเนื้อเหนื่อยล้าหรือเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหากไม่ได้เตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อมก่อนและหลังเล่น
- การยืดกล้ามเนื้อที่แนะนำ: ยืดแบบไดนามิกก่อนการเล่นเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ และยืดแบบสถิตหลังการเล่นเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว
- ความถี่ที่แนะนำ: ควรทำทุกครั้งก่อนและหลังการออกกำลังกาย